วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Exam Preparation

วันนี้ได้อ่านบทความดีดีจาก www.epbenjamaclub.com เลยเก็ยมาฝากครับ เกี่ยวกับการเตรียมการสอบของนักเรียนภาคภาษาอังกฤษ หรือที่เราเรียกกันว่า English Program (EP)
สวัสดีครับ ก่อนอื่นก็ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อ พ.รณัฐ คงทอง ในปีนี้ผมกำลังจะเข้าศึกษาในโครงการพัฒนาศักยภาพนักเรียนที่มีความสามารถ พิเศษทางคณิตศาสตร์ รุ่นที่ 8 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ผมจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จาก โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ในโครงการภาคภาษาอังกฤษ หรือ English Program 3 ปีในรั้วขาวแดงได้สอนสิ่งต่างๆ ต่อผมมากมาย
ประสบการณ์ ทั้ง 3 ปีนี้เป็นประสบการณ์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตผม ผมได้พบอุปสรรคมากมาย แต่อุปสรรคเหล่านี้แหละ ที่สอนให้ผมเรียนรู้ที่จะต่อสู้ ไม่มีความสำเร็จใดเกิดขึ้นได้ โดยไร้อุปสรรค ตอนขึ้น ม.3 ใหม่ๆ ผมกลัวการสอบเข้าเรียนต่อในชั้น ม.4 มาก เพราะรู้ว่าการสอบนี้จะส่งผลต่ออนาคตอย่างมาก
แรงบันดาลใจแรกของผม คือ บทความของรุ่นพี่ ที่ติดไว้บนบอร์ดหน้าห้องเรียน เป็นเรื่องของรุ่นพี่ EP เก่า ที่เข้าศึกษาต่อในโครงการพัฒนาศักยภาพนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษทาง คณิตศาสตร์
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา บทความนั้นได้กลายมาเป็นแรงผลักดันให้ผมตั้งปณิธานที่จะเข้าโรงเรียนเตรียม อุดมศึกษาให้ได้ ในตอนแรกผมตั้งความหวังไว้ค่อนข้างมาก ไม่ถึงกับต้องเป็นที่หนึ่งหรอก แต่ก็อยากให้ติด Top Ten เหมือนกัน ความคาดหวังที่สูงเกินไป ก่อเกิดเป็นความกลัว
ผมถามตัวเองอยู่เสมอในตอน นั้น เรากล้าดียังไง ถึงไปฝันว่าจะติด Top Ten เตรียมฯ เราเก่งพอแล้วหรือ? นานวันเข้ามันก็ยิ่งเกิดเป็นความไม่มั่นใจ พอถึงช่วงหนึ่ง กำลังใจของผมก็เริ่มถดถอย แล้วกำลังใจก็หมดไป เมื่อผมพบว่า ผม”สอบไม่ติด” ถึงแม้ไม่ใช่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แต่มันก็ทำให้ผมย้อนกลับมามองตัวเอง นี่เราพร้อมแล้วหรือ ที่จะแข่งกับคนนับพันๆ (สายวิทย์เตรียมฯ ไม่เคยมีคนสมัครเกินหนึ่งหมื่นคนครับ)
ในความมืดมนนั้น พ่อเป็นผู้ดึงผมขึ้นมา ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ว่า“มันไม่ใช่ทางของลูก ฟ้ากำหนดให้ลูกได้เข้าเตรียมฯ ไม่ใช่ที่อื่น” ผมเคยได้ยินคำปลอบใจมามาก
แต่ประโยคไม่กี่ประโยคของพ่อ มันแสดงออกถึงความจริงใจ ความเป็นห่วง และ ความหวัง

ผม รวบรวมกำลังใจอีกครั้ง เพื่อสู้ต่อไป สำหรับน้องๆที่อยากเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษานะครับสิ่งสำคัญในการ เตรียมตัวคือ การแบ่งเวลา เนื่องจากบ้านพี่อยู่ต่างอำเภอ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ประมาณ6 โมงเย็น พี่จะใช้เวลา 6 โมงเย็นถึง 6 โมงครึ่งเล่นกีฬากับเพื่อนๆ ละแวกบ้าน การออกกำลังกายตอนเย็นๆ จะทำให้เราสดชื่นหลังจากเรียนเหนื่อยมาทั้งวันทำให้เราเหนื่อย การนอนหลับทันทีหลังกลับถึงบ้านจะทำให้นอนไม่หลับตอนกลางคืน และทำให้นาฬิกาชีวิตของเราแปรปรวน
ช่วง 6 โมงครึ่งถึง 1ทุ่มก็จะอาบน้ำ ทานอาหารเย็น ช่วง 1 ทุ่ม ถึง 3 ทุ่มก็จะใช้ทำการบ้านที่โรงเรียน การทำการบ้านที่โรงเรียนก็ถือเป็นการเตรียมตัวสอบอย่างหนึ่งอย่าดูถูก การบ้านข้อสองข้อที่โรงเรียนเด็ดขาด การทำการบ้านเปรียบเหมือนการทบทวนเนื้อหาที่เรียนรู้ที่โรงเรียนในวันนั้นๆ
หลัง จากนั้นช่วง 3 ทุ่มถึง 4 ทุ่มครึ่งพี่จะใช้อ่านหนังสือเตรียมสอบแม้จะเป็นเวลาไม่มาก แต่ถ้าเราอ่านทุกวัน เราก็จะค่อยๆสะสมความรู้จากการอ่านเรื่อยๆในช่วงแรกๆ ก็มีเหมือนกันที่ทำตามตารางเวลาไม่ได้ บางวันก็กลับบ้านช้าบางวันทานข้าวดึกยิ่งช่วงหลัง การบ้านเยอะ ทำให้ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ ตอนนั้นพี่เครียดมาก ที่ไม่สามารถทำตามตารางเวลาได้ แต่หลังจากนั้นผมก็พยายามไม่เครียดกับตารางเวลามาก อะไรที่ตึงเกินไป
พี่ก็ลดหย่อน วันไหนที่เหนื่อยมากจนอ่านหนังสือไม่ไหว ผมก็ไม่ฝืนอ่านต่อ เพราะรู้ว่าถึงอ่านไปก็ไม่ได้อะไร พานแต่จะทำให้ป่วยไปเปล่าๆ วันใดก็ตามที่ไม่มีอารมณ์จะอ่านน้องๆก็ไม่ต้องฝืนอ่านนะ เพราะถึงอ่านไป ก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี
หาเวลาพักผ่อนให้ตัวเองบ้างสักชั่วโมง นั่งบนโซฟานุ่มๆ ฟังเพลงเบาๆ โทรทัศน์กับคอมพิวเตอร์ไม่ต้องถึงกับงด แค่ดู/เล่นให้น้อยลงสักนิดก็พอแล้ว บางทีพี่ก็อยากเล่น
เหมือนกัน บางทีก็คิดเข้าข้างตัวเอง ว่าเล่นสักนิดคงไม่เป็นไรหรอก แค่ 4-5 ชม.เอง อยากให้น้องๆคิดถึงพ่อ แม่ ไว้ครับ ว่าพ่อ แม่ เหนื่อยเพื่อเรามาแค่ไหน ทำเพื่อพ่อ แม่ แค่ไม่กี่เดือน สอบติดให้พ่อแม่ดีใจ หลังจากนั้นค่อยเล่นก็ได้ เรายังมีโอกาสได้เล่นอีกนาน แต่โอกาสนี้มีแค่ครั้งเดียว


พอถึงช่วงประมาณธันวาคม จะเป็นช่วงที่น้องๆหลายคนมาถึงจุด peak แล้ว คือ น้องบางคนก็ กลัวว่าจะสอบไม่ได้สุดๆ บางคนก็มั่นใจว่าจะสอบได้สุดๆ แต่พวกที่เฉยๆก็มี พี่อยากให้น้องมั่นใจในตัวเองนะ โรงเรียนทั่วประเทศเขาก็เรียนเหมือนน้องนี่แหละ หนังสือก็เล่มเดียวกัน
การ สอบเตรียมฯ ปัจจัยที่สำคัญที่สุด คือ ความพร้อม คนที่สอบได้ไม่ใช่คนเก่งเสมอไป คนที่สอบได้คือคนที่พร้อมกว่าคนอื่น ถ้าน้องเตรียมตัวมาดี น้องสอบได้แน่นอนครับ ใครที่ยังไม่เตรียมตัว เตรียมตัวในช่วงนี้ก็ยังทันแต่จะเสียเปรียบคนที่เตรียมตัวเร็วกว่าอยู่ดี (ไม่ใช่ให้ไปเตรียมตัวเอาช่วงนั้นนะ)
พอถึงช่วงมกราคม งานน้องจะเยอะมาก ทั้งวิชาโน้น วิชานี้ บางวันกลับบ้านก็อาบน้ำ กินข้าวแล้วนอนเลย ไม่ได้อ่านหนังสือ ช่วงนั้นจะเป็นช่วงนี้เหนื่อยมาก อย่างที่พี่บอกละครับ ถ้าเหนื่อยก็พักผ่อนดีกว่า อย่าฝืนอ่านเลยถึงงานจะเยอะยังไง น้องก็ยังต้องทำนะครับ อย่าทิ้ง เพราะงานเหล่านั้นแหละ ที่จะแทนเวลาอ่านหนังสือของเรา น้องบางคนยังเข้าใจผิดอยู่ว่า ข้อสอบเตรียมฯจะอยู่ในหนังสือเตรียมสอบที่น้องซื้อมาเท่านั้น
จริงๆแล้ว กว่า 90% ของข้อสอบเตรียมก็อยู่ในหนังสือเรียนของน้องละครับ ในการบ้านที่น้องทำทุกวัน น้องแค่อ่านหนังสือนอกเพื่อ เพิ่มเติมอีก 10% ที่เหลือแค่นั้นเอง
หลังจากเรียนจบ น้องหลายคนก็คงขึ้นไปอยู่กรุงเทพฯ เรียนพิเศษ พี่ก็ทำอย่างนั้นนะ เรียนติวตามที่ต่างๆ แต่พี่อยากแนะนำน้องว่า น้องอย่าจัดตารางเรียนให้แน่นเกินไป ไม่ใช่เรียนตั้งแต่ 7 โมงถึง 3 ทุ่มอะไรอย่างนี้นะ ควรจะเรียนให้จบก่อน 5 โมงเย็น เพื่อจะเหลือเวลาในการทบทวน และ อ่านหนังสือ ช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนสอบเนี่ย ควรจะเรียนแค่ ช่วงเช้า หรือ ช่วงบ่ายก็พอ พอสัก 3-4 วันเนี่ย น้องไม่ควรเรียนแล้ว ควรจะเอาเวลา
มาทบทวนเนื้อหาที่เรียนทั้งหมด หรือทำ short note ช่วยจำ
ช่วง นี้ น้องต้องพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 ชม. ถึงไม่ได้อ่านหนังสือก็ไม่เป็นไร เพราะถ้านอนไม่พอ อ่านหนังสือยังไงก็อ่านไม่รู้เรื่อง หนังสือที่อ่าน พอน้องซื้อมา น้องก็เปิดดูสารบัญเลย แล้ววางแผนว่าจะอ่านจบภายในกี่วัน
แล้วแบ่งว่า วันนี้จะอ่านกี่บท แล้วอ่านตามนั้น วันไหนอ่านได้ไม่ตามเป้า ก็อย่าไปเครียด ปล่อยวางแล้วรออ่านวันต่อมา แต่อย่าผัดวันประกันพรุ่งนะ ช่วงอ่านหนังสือเนี่ย ตอนพี่อ่าน พี่จะอ่านในห้องที่ไม่มีโทรทัศน์กับคอมพิวเตอร์ และก็ควรอ่านบนโต๊ะเขียนหนังสือ อย่านอนอ่านบนเตียง หรืออ่านไปดูโทรทัศน์ไป อ่านไม่รู้เรื่องหรอก
ประมาณหนึ่งวันก่อนสอบ ใครจะทบทวนก็ได้ แต่ควรนอนเร็ว ส่วนใครที่ทบทวนมาแล้ว ก็อ่านที่สรุปไว้ ผ่านๆ แล้วก็ทำสมาธิ วันสอบอย่างที่น้องได้ยินมานั่นแหละ
ตื่นเช้าๆ รีบไปให้ถึงที่สอบ เพราะรถจะติด คนก็เยอะ ควรรีบไปจองที่นั่ง จะได้มีที่นั่งกินข้าวเที่ยงจะเอาข้าวไปกินเองก็ได้ แต่เท่าที่ดูกินข้าวที่ food center ก็ได้ แต่อาจต้องรีบหน่อย
ใน hall ที่สอบ จะเห็นคนเยอะมาก คนที่นั่งหน้าๆ จะมีกำลังใจ เพราะไม่เห็นคนเยอะ แต่จะประจันหน้ากับอาจารย์คุมสอบเลย คนนั่งหลังๆก็พยายามอย่าเงยหน้าบ่อย เดี๋ยวใจเสีย สิ่งที่ทำให้คนเก่งๆหลายคน สอบไม่ติดก็เพราะ ตื่นเต้น แค่จับดินสอก็มือสั่นแล้ว ตอนพี่เข้าห้องสอบ พี่ก็มือสั่นเหมือนกัน ตื่นเต้นมาก แต่พี่ก็พยายามรวบรวมสติ แล้วก็นั่งสมาธิ พอเราหลับตา เราก็จะไม่เห็นภาพคนเป็นหมื่นๆ ให้คิดว่าเราอยู่คนเดียวในห้องนั้น แล้วเสียงเซ็งแซ่ จะหายไปเอง หลังจากนั้น ก็พยายามนึกถึงสถานที่เงียบๆ พอคิดว่าเริ่มมีสมาธิแล้ว ก็ลืมตา แล้วใช้นิ้ว 3 นิ้วจับปลายปากกาดู ถ้าปากกาไม่สั่นแสดงว่าจิตเรานั่งแล้ว ถ้ามันยังสั่น ก็พยายามจับให้นิ่ง ประมาณ 30 วินาที แล้วเราจะมีสมาธิ

ในช่วงเช้าจะเป็นวิชาคณิต สังคม ไทย น้องอาจเคยได้ยินมาแล้ว ว่าควรทำไทยกับสังคมก่อนแล้วค่อยทำเลข เพราะเวลามันน้อย สำหรับคนที่มั่นใจว่าถนัดเลขมากกว่า ก็อาจเลือกทำเลขก่อนก็ได้ตอนบ่ายเป็นวิทย์กับอังกฤษ ให้เลือกทำวิชาที่น้องถนัดก่อน ปีพี่อังกฤษยากมาก พี่เลยทำวิทย์ก่อนหลังจากน้องออกจากห้องสอบแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเลย คือ กังวล พี่ไม่แนะนำให้น้องตรวจคำตอบกับเพื่อน หรือเปิดหนังสือดูว่าตอบถูกรึเปล่า เพราะมันจะทำให้น้องยิ่งเครียด ยังไงมันก็ผ่านไปแล้วกลับบ้าน แล้วก็เล่นคอมพิวเตอร์ หรือ ดูโทรทัศน์ แล้วหาอะไรเพื่อจะได้ไม่คิดมากเรื่องสอบ
พี่เชื่อว่า ถ้าน้องเตรียมตัวดี ตั้งใจจริง ไม่มีอะไรทำให้น้องไม่ติดได้หรอกครับ ยังไงก็ขออาราธนาคุณพระรัตนตรัยตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก ให้น้องทุกคนตั้งใจจริง และสอบติดให้ได้ดังใจหวังนะครับ สู้ๆ ครับ เพื่อ TU 74!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น